คอลัมน์ Market Move
ธุรกิจกาแฟกลายเป็นอีกหนึ่งวงการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ด้วยดีมานด์ที่ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบทศวรรษ ทำให้ร้านกาแฟทั่วโลกทั้งรายใหญ่ระดับอินเตอร์อย่างสตาร์บัคส์ ไปจนถึงโลคอลแบรนด์ต้องเร่งปรับโมเดลธุรกิจรับมือ
สำนักข่าว “บลูมเบิร์ก” รายงานว่ากรมวิชาการเกษตรของสหรัฐคาดว่า ปริมาณการบริโภคกาแฟทั่วโลกจะลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี นับตั้งแต่ปี 2554เป็นต้นมา เนื่องจากร้านกาแฟและร้านอาหารทั่วโลกที่มีสัดส่วน 25% หรือ 1 ใน 4 ของดีมานด์กาแฟโลกถูกปิดตามมาตรการล็อกดาวน์
สอดคล้องกับข้อมูลของบริษัทวิจัยมาเรก สเปกตรอน ที่ประเมินว่า ในช่วง 6 เดือนที่่ผ่านมา มีสถานที่สำหรับดื่มกาแฟนอกบ้านอย่างร้านอาหาร ร้านขนมและคาเฟ่ ฯลฯ มากกว่า 95% ทั่วโลกถูกปิดแบบพร้อม ๆ กัน ทำให้ความต้องการกาแฟลดลงอย่างรวดเร็ว
แม้หลายประเทศจะเริ่มคลายล็อกให้ธุรกิจเปิดได้อีกครั้ง แต่กว่าดีมานด์จะฟื้นตัวอาจต้องใช้เวลามากกว่าที่คิด เนื่องจากผู้บริโภคและผู้ประกอบการยังลังเลที่จะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ
สะท้อนจากย่านธุรกิจของกรุงลอนดอนซึ่งแม้รัฐบาลจะคลายล็อกมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ร้านกาแฟหลายร้านยังคงปิดบริการอยู่ หนึ่งในนั้นคือ “ฟอร์ โน้ต” ที่มีสาขา 10 แห่งในย่านธุรกิจของลอนดอน โดย “โรเบิร์ต โรบินสัน” ผู้ร่วมก่อตั้งร้านฟอร์ โน้ต อธิบายว่า ออฟฟิศหลายบริษัทยังปิดต่อไปจนกว่าจะหมดหน้าร้อน (มิ.ย.-ส.ค.) และบางบริษัทเลือกปิดยาวไปจนถึงสิ้นปี และเปิดอีกครั้งในปีหน้า ทำให้บริษัทตัดสินใจปิดสาขากลางเมืองเอาไว้ก่อน
ด้านผู้บริโภคเองก็ยังไม่กลับมาใช้บริการร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ เห็นได้จากบรรยากาศช่วงเช้า และพักกลางวันที่ยังเงียบเหงา โดย “ดังกิ้น แบรนด์ กรุ๊ป”เชนร้านโดนัทรายใหญ่ยอมรับว่า ช่วงโควิด-19 ลูกค้าช่วงเช้าหายไปเกือบหมด
สถานการณ์นี้ทำให้แม้แต่ยักษ์ร้านกาแฟอย่าง “สตาร์บัคส์” ยังต้องยอมปรับกลยุทธ์ ทิ้งโมเดลความสำเร็จเดิมที่ขายบรรยากาศและการบริการในร้าน หันไปเน้นเปิดโมเดลสำหรับรับออร์เดอร์ดีลิเวอรี่แทน ซึ่งจะเป็นร้านขนาดเล็กและไม่มีที่นั่ง หรือ pickup-only stores พร้อมประกาศปิดสาขาโมเดลเก่าจำนวน 400 แห่งในอเมริกาเหนือ และเปิดโมเดลใหม่ 300 แห่งแทน
ในขณะที่รายเล็ก ๆ ต้องหันไปพึ่งการเปลี่ยนทำเลเพื่อเข้าใกล้ลูกค้ามากขึ้น เช่น ร้านกาแฟ “แบนดิท” ในนิวยอร์กซึ่งไปเปิดสาขาใหม่ในย่านที่อยู่อาศัยซึ่งชาวนิวยอร์กมาหลบภัยช่วงโควิด-19 ระบาด จากเดิมที่เน้นทำเลย่านธุรกิจ
นอกจากนี้ ดีมานด์ที่ลดลงส่งผลกระทบต่อผู้ปลูกกาแฟด้วยเช่นกันทั้งจากราคาเมล็ดกาแฟที่ลดลง และการชะลอจ่ายค่าสินค้าของบรรดาร้านกาแฟ โดยสถาบันการเงิน “ซิตี้กรุ๊ป” ประเมินว่า ช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ราคาซื้อขายล่วงหน้าของเมล็ดกาแฟอาราบิก้าอาจจะลดลงประมาณ 10% มาอยู่ที่ 90 เซนต์ต่อปอนด์ ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าจุดคุ้มทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ฟิลิปเป้ บรากา” ซีอีโอของซูพลิเซียคาเฟ่ เอสสเปเซียส หนึ่งในเชนร้านกาแฟรายใหญ่ของบราซิลซึ่งมีสาขา 25 แห่ง ระบุว่า ปัจจุบันบริษัทต้องขอเลื่อนจ่ายค่าเมล็ดกาแฟให้กับชาวไร่เนื่องจากขาดสภาพคล่อง รวมถึงต้องลดออร์เดอร์ในอนาคตลงอีกด้วย หลังต้องปิดสาขาส่วนใหญ่ชั่วคราวเพราะสถานการณ์การระบาด และบางสาขากลับมาเปิดได้ไม่นานก็ต้องปิดอีกครั้งเพราะลูกค้าน้อยจนไม่คุ้มค่าใช้จ่าย
“ขณะนี้แฟรนไชซีหลายรายเริ่มแจ้งเข้ามาแล้วว่าอาจต้องปิดกิจการ”
อย่างไรก็ตาม ตลาดกาแฟในเอเชียมีแนวโน้มที่ดีกว่า โดยบริษัทวิจัยมินเทลคาดว่า การบริโภคกาแฟในเอเชียจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนบริษัทวิจัยฟิสโซลูชั่นมองว่า พฤติกรรมจะเปลี่ยนไปตามสภาพเศรษฐกิจ และความกังวลเรื่องโรคระบาด โดยบางส่วนเลือกกลับไปบริโภคกาแฟสำเร็จรูปมากขึ้น เพื่อรัดเข็มขัดค่าใช้จ่าย และอีกกลุ่มเลือกชงกาแฟดื่มเองแทนการไปร้านกาแฟ แต่ทั้งนี้ยังต้องจับตาดูว่าจะเกิดการระบาดรอบ 2 หรือไม่อีกด้วย
July 22, 2020 at 06:21AM
https://ift.tt/3jpXgtH
"ร้านกาแฟ" โดนโควิดกระหน่ำ ดีมานด์ "ดื่ม" ดิ่ง-ราคาเมล็ดร่วง - ประชาชาติธุรกิจ
https://ift.tt/3cAAHOs
Bagikan Berita Ini