วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2563
นายสมชัย เกตุชัยโกศล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์วิกฤติไวรัสโควิด-19 ระบาดช่วงที่ผ่านมาทำให้ประเทศไทยได้มีการประกาศล็อกดาวน์ตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค. จึงมีการปิดธุรกิจต่างๆ ที่คาดว่าจะมีความเสี่ยง อาทิ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารไม่สามารถนั่งทานในร้านได้ รวมถึงร้านผับ บาร์ ก็ได้ปิดให้บริการชั่วคราว และจากการที่ช่องทางการจำหน่ายดังกล่าวเปิดให้บริการไม่ได้ตามปกติส่งผลให้ผู้บริโภคใช้ชีวิตนอกบ้านน้อยลงเพราะความกังวลและต้องให้ความร่วมมือตามมาตราการของภาครัฐ ส่วนภาคธุรกิจก็เช่นกันไม่สามารถจัดกิจกรรมทางอีเวนต์ในการกระตุ้นตลาดได้และจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ตลาดเครื่องดื่มได้รับผลกระทบ
ด้วยเหตุนี้ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มในช่วงครึ่งปี 2563 ซึ่งทุกเซ็กเมนต์ติดลบเหมือนกันหมดทุกกลุ่มเฉลี่ย 7% โดยแบ่งออกเป็นตลาดน้ำเปล่า ติดลบ 12%, ชูกำลัง ติดลบ 6%, เกลือแร่ ติดลบ 13%, กาแฟพร้อมดื่ม ติดลบ 7%, ชาพร้อมดื่ม ติดลบ 13%, มิกเซอร์ ติดลบ 5% และน้ำอัดลม ติดลบ 2.5% แต่อย่างไรก็ตาม เซ็กเมนต์ของตลาดน้ำอัดลมมูลค่า 56,000 ล้านบาท ติดลบน้อยกว่าตลาดภาพรวมเพียง 2.5% เนื่องจากมีปัจจัยจากสภาพอากาศที่ร้อนในช่วงซัมเมอร์มาค่อยช่วยไว้ให้พอทรงตัวไปได้
ทั้งนี้ ตลาดรวมเครื่องดื่มทั้งหมดในไทย เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมามีมูลค่ารวม 155,000 ล้านบาท เติบโต 9% จากปี 2561 โดยที่เครื่องดื่มน้ำอัดลมมีสัดส่วนตลาดมากที่สุดและเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 10% เป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดรวม โดยน้ำอัดลมมีสัดส่วนตลาดมากถึง 36% จากตลาดรวม 155,000 ล้านบาท, กลุ่มน้ำเปล่ามีสัดส่วน 25%, เครื่องดื่มชูกำลังมีสัดส่วน 15%, กาแฟพร้อมดื่มมีสัดส่วน 8%, ชาพร้อมดื่มมีสัดส่วน 8%, มิกเซอร์มีสัดส่วน 5% และเครื่องดื่มเกลือแร่มีสัดส่วน 3% ขณะที่สัดส่วนของช่องทางการจำหน่ายน้ำอัดลมแบ่งเป็น เทรดิชันนัลเทรด สัดส่วน 50%, คอนวีเนียนสโตร์ สัดส่วน 25%, ร้านอาหาร สัดส่วน 18% และซูเปอร์มาร์เกตกับไฮเปอร์มาร์เกต สัดส่วน 7%
ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า ขณะนี้จากสถานกาณ์ภายในประเทศไทยทิศทางเริ่มจะดีขึ้นเรื่อย ๆ คนติดเชื้อภายในประเทศแทบจะไม่พบแล้วประกอบกับได้มีการปลดล็อกดาวน์ให้ธุรกิจกิจกรรมต่าง ๆ เริ่มกลับมาดำเนินงานได้ปกติ อย่างร้านอาหารท่องเที่ยว ผับ บาร์ ฯลฯ เราก็มองว่าสถานการณ์ครึ่งปีหลังจะดีขึ้นและคาดว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจเครื่องดื่มให้ฟื้นขึ้นมาได้
สำหรับในส่วนของแบรนด์มิรินด้าปีนี้จะมีการปรับแผนกลยุทธ์การรุกตลาดครั้งใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางของมิรินด้าทั่วโลกที่ต้องการปรับภาพลักษณ์แบรนด์สินค้าใหม่เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่ม เจนซี (Gen Z) มากยิ่งขึ้นภายใต้งบทำตลาดครึ่งปีหลังราว 200 ล้านบาท เริ่มด้วยการจัดแคมเปญการตลาดจะมุ่งเน้นแนวความคิด “Mirinda Mix Up Your World มิรินด้าสนุกทุกสี ซ่าไม่มีซ้ำ” ที่เจาะลึกถึงไลฟ์สไตล์และความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ และมุ่งใช้ลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิตอลเป็นหลักเพื่อให้เข้าถึงกลุ่ม Gen Z และกระตุ้นให้หันมาลองเครื่องดื่มมิรินด้า
พร้อมกันนี้ยังจะให้ความสำคัญในการทำการตลาดผ่านรสชาติหลัก ได้แก่มิรินด้ากลิ่นส้ม มิรินด้ากลิ่นสตรอเบอร์รี่ และล่าสุดมิรินด้ากลิ่นกรีนครีม ที่ออกจำหน่ายในไตรมาสแรกของปีนี้ซึ่งได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ส่งผลให้ยอดขายของมิรินด้าในไตรมาสแรกเติบโตกว่า 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อีกทั้งล่าสุดได้เปิดตัวรินด้า กลิ่นมิกซ์เบอร์รี่และแตงโม เครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ผสาน 2 กลิ่นผลไม้ในขวดเดียว มีให้เลือก 2 ขนาด คือ แบบขวด PET ขนาด 345 มิลลิลิตร และ 440 มิลลิลิตร โดยบริษัทตั้งเป้าว่าปีนี้ยอกขายจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 18-20% ซึ่งคาดว่าจะยิ่งผลักดันให้มิรินด้ามีแชร์ขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในตลาดน้ำสีได้ภายในปีหน้าจากขณะนี้อยู่อันดับที่ 3
July 10, 2020 at 03:48AM
https://ift.tt/321LPSL
“มิรินด้า” โอดพิษโควิด-19 กระแทกธุรกิจเครื่องดื่มกระอัก ติดลบทุกกลุ่ม 7% ปรับแผนใหญ่ดันแชร์น้ำอัดลมสีขึ้นเบอร์ 2 - สยามธุรกิจ
https://ift.tt/3cAAHOs
Bagikan Berita Ini